รอยแผลเป็นจากสิว Acne Scar มีกี่ชนิด รักษาได้อย่างไรบ้าง

Acne-scar

สารบัญรอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร

รอยแผลเป็นจากสิวคืออะไร?

รอยแผลเป็นจากสิว (Acne Scar) เกิดจากการอักเสบของสิวที่ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง ส่งผลให้เกิดรอยบุ๋ม รอยนูน หรือจุดด่างดำหลงเหลืออยู่หลังสิวหายไป หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม อาจทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน และลดความมั่นใจในระยะยาว

รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่ชนิด?

รอยแผลเป็นจากสิวสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

1. รอยแผลเป็นแบบหลุมสิว (Atrophic Scar)

เป็นแผลเป็นที่เกิดจากการทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ส่งผลให้ผิวเป็นหลุม มี 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  • Ice Pick Scar: หลุมสิวลึกและแคบ คล้ายรูเข็ม พบได้บ่อย
  • Boxcar Scar: หลุมสิวกว้างและตื้น มีขอบชัดเจน
  • Rolling Scar: หลุมสิวที่มีขอบมน ลักษณะเป็นคลื่น ทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน

2. รอยแผลเป็นนูน (Hypertrophic & Keloid Scar)

เกิดจากการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนมากเกินไประหว่างการซ่อมแซมผิว ทำให้เกิดรอยแผลเป็นนูนขึ้นมา ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นสีแดงหรือน้ำตาล

โดยแผลเป็นจากสิวมักเป็นแผลเป็นหลุมมากกว่าแผลเป็แบบนูน

close-up-problematic-skin-with-deep-acne-scars-cheek-men-pigmentation

หลุมสิว หรือ รอยแผลเป็นแบบหลุม (atrophic scars)  แบ่งได้อีก 3 กลุ่มย่อยตามลักษณะ คือ

1. หลุมสิวแบบกล่อง (boxcar scar) ลักษณะเหลี่ยม หรือออกกลมรีได้ ปากขอบและฐานขนาดใกล้เคียงกัน ขอบเขตชัด ขนาดประมาณ 3-4 mm

2.หลุมสิวแบบจิก (icepick scar) พบได้มากที่สุดขนาดแคบ น้อยกว่า 2 mm ลึก ขอบชัด ก้นของหลุมจะแหลม ลักษณะคล้ายตัว V  โดยหลุมสิวชนิดนี้จะตอบสนองต่อการรักษาได้น้อยที่สุด

3. หลุมสิวแบบคลื่น (rolling scars) รอยแผลเป็นหลุมจากสิวที่มีลักษณะกว้าง และตื้น คล้ายกระทะ เกิดจากสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เกิดการยุบตัวลงของผิวเกิดจากการดึงรั้งของพังผืด ซึ่งมักจะเป็นลึกตั้งแต่ชั้นหนังแท้ จนถึงชั้นใต้ผิวหนัง  ซึ่งทำให้ความรุนแรงของหลุมสิวมากน้อยแตกต่างกัน

scar-from-acne-face (

วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้ได้ผล

1. เลเซอร์รักษาหลุมสิว (Laser Resurfacing)

ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็มหลุมสิว และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น เช่น Fractional CO2 Laser, Picosecond Laser หรือ Erbium Laser

2. การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มหลุมสิว (Dermal Filler)

เหมาะกับหลุมสิวประเภท Boxcar หรือ Rolling Scar โดยใช้ฟิลเลอร์ (HA Filler) ฉีดเข้าไปเพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนทันที การใช้สารเติมเต็ม Dermal filler ช่วยเติมเต็มในหลุมสิว คอสโมคลินิกแนะนำ 2 ยี่ห้อคือ โปรแกรม Restylane vitallight และ โปรแกรม Juvederm Voliteในการเติมหลุมสิว  ซึ่งสามารถอยู่ได้นาน 1 ปี

juvelook ฉีดกี่ cc
วิธีฉีด juvelook

3. การรักษาด้วยคลื่นวิทยุ (RF Microneedling)

Microneedling โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า dermapen ซึ่งเป็นปากกาปลายเข็ม กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยใช้เข็มขนาดเล็กส่งพลังงานลงสู่ชั้นผิว ตัวเข็มจะสามารถลงไปตัดพังผืดใต้ผิวหนังได้ สามารถทำคู่กับ PRP หรือ สารจำพวก non cross link hyaluronic acid

4. การทำ Subcision (ตัดพังผืดหลุมสิว)

Subcision ตัดพังผืด ซึ่งมีหลายเทคนิคเช่น การใช้เข็มขนาดใหญ่ การใช้เข็มชนิดพิเศษที่มีลักษณะคล้ายใบมีดตัดพังผืด หรือใช้เข็มปลายทู่ที่เรียกว่า blunt cannula ในการตัดพังผืด เทคนิคนี้ เหมาะกับหลุมสิวแบบ Rolling Scar อาจจะทำให้เกิดรอยช้ำได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ตัวอย่างการทำ subcision

5. การใช้สารผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peel)

ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวใหม่ ทำให้รอยแผลเป็นตื้นขึ้น เช่น TCA Cross สำหรับ Ice Pick Scar

6. การฉีดสเตียรอยด์รักษาแผลเป็นนูน

ช่วยลดขนาดของแผลเป็นนูนและคีลอยด์ให้แบนราบลง

7. โปรแกรม Juvelook ฟื้นฟูหลุมสิวด้วย PCL+HA

โปรแกรม Juvelook คือการฉีดสาร Polycaprolactone (PCL) และ Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวโดยตรง เหมาะสำหรับการรักษาหลุมสิวแบบ Rolling Scar และ Boxcar Scar โดยไม่ต้องพักฟื้น ผลลัพธ์ค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 3-6 เดือน และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี Juvelook มีข้อดีคือช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน กระชับรูขุมขน และช่วยลดริ้วรอยได้ในคราวเดียว

juvelook ฉีดกี่ครั้ง
Juvelook ราคา

8. การใช้แสงเลเซอร์ความเข้มข้นต่ำ LLLT หรือ Low level light therapy

ในการดูแล หลังจากการรักษาหลุมสิวด้วย เลเซอร์ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ผิวซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น และเสริมประสิทธิภาพการรักษา ลดรอยแดง ลดการอักเสบของผิว

สรุปรอยแผลเป็นจากสิว

รอยแผลเป็นจากสิวมีหลายประเภท และแต่ละประเภทต้องใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับสภาพผิวและระดับความรุนแรงของรอยแผลเป็น การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด